วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
มีวิธีแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกตํ่าอย่างยั่งยืนหรือไม่?
หากอาศัยแนวคิดเก6ียวกับการทำงานของกลไกตลาดจะพบว่า ราคาสินค้าโดยทั่ว ไปจะถูกกำหนดโดย
ความต้องการซืGอสินค้า หรือ อุปสงค์ (Demand) และ ปริมาณสินค้าท6ีผู้ผลิตต้องการนำมาขาย หรือ อุปทาน
(Supply) เม6ือใดท6ีความต้องการซืGอสินค้ามีมากกว่าสินค้าท6ีนำมาขาย คือ มีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน สินค้านัGนจะ
มีราคาสูง แต่ถ้าเม6ือใดความต้องการซืGอสินค้ามีน้อยกว่าสินค้าท6ีมีขายอยู่ในท้องตลาด กล่าวคือ มีอุปสงค์น้อย
กว่าอุปทาน ผู้ขายจะไม่กล้าตัGงราคาสูง เพราะอาจจะทำให้เขาขายสินค้านัGนไม่ได้ สินค้านัGนก็จะมีราคาตํ6า
เม6ือพิจารณาธรรมชาติของสินค้าเกษตรทัว6 ไป จะพบว่า หากไม่มีการจัดการด้านการผลิตท6ีดี ผลผลิตท6ี
ได้จะมากหรือน้อยขึGนกับฤดูกาลและสภาพดินฟ้ าอากาศเป็นหลัก เช่น ปี ใดเกิดภาวะฝนแล้งหรือนGำท่วม ปี นัGน
ผลผลิตทางการเกษตรก็จะมีน้อย แต่ถ้าปี ใดดินฟ้ าอากาศดี ผลผลิตท6ีได้ก็จะมีมาก ส่วนด้านของผู้ซืGอนัGน หากผู้
ซืGอสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ซืGอไปเพ6ือการบริโภค เราจะพบว่าความต้องการซืGอจะถูกจำกัดโดยความสามารถใน
การบริโภคสินค้านัGน เช่น โดยเฉล6ียผู้บริโภคแต่ละคนไม่สามารถบริโภคเงาะได้เกิน 1 กิโลกรัมต่อวัน ดังนัGน
ถึงแม้ว่าเงาะจะมีราคาถูกมากเพียงใด ผู้บริโภคก็จะไม่ซืGอมากไปกว่าความต้องการบริโภค ดังนัGนเม6ือถึงฤดูเก็บ
เกี6ยวผลผลิต เกษตรกรทุกคนก็จะพร้อมใจกันเก็บเกี6ยวผลผลิตเพื6อนำมาขาย เนื6องจากผลผลิตทางการเกษตรไม่
2
สามารถเก็บรักษาได้นาน จึงทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมาก ขณะท6ีความต้องการซืGอมีจำกัดดังท6ีได้
กล่าวแล้ว ผลท6ีตามมาคือราคาผลผลิตนัGนก็จะตกตํ6า เน6ืองจากอุปทานของสินค้ามีมากกว่าอุปสงค์ หากยิง6 มีการ
นำผลผลิตออกมาขายมากเท่าใด ราคาผลผลิตนัGนก็จะยิง6 ตกตํ6ามากเท่านัGน
ดังนัGน ปี ใดท6ีสภาพดินฟ้ าอากาศดีทำให้เกษตรกรสามารถเก็บเก6ียวผลผลิตได้มาก อุปทานของสินค้าก็
จะมีมาก แทนท6ีจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มากด้วย กลับพบว่าในปีนัGนจะมีการเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามา
ช่วยเหลือ เพราะราคาผลผลิตจะตกตํ6ามากจนอาจทำให้เกษตรกรต้องประสบกับภาวะขาดทุน และถ้าในปีนัGนมี
ปัญหาเศรษฐกิจตกตํ6าเกิดขึGน ส่งผลให้ความต้องการบริโภคสินค้าต่างๆ รวมถึงสินค้าเกษตรลดน้อยลง ซึ6ง
หมายถึงอุปสงค์ของสินค้าเกษตรลดลงไปด้วยแล้ว เท่ากับเป็นการซGำเติมให้ราคาสินค้าเกษตรตกตํ6าลงมาก
ยิง6 ขึGนไปอีก
จึงกล่าวได้ว่า สาเหตุสำคัญทีทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกตําคือ ปริมาณผลผลิตมีมากกว่าความต้องการ
บริโภค หรือ มีอุปทานมากกว่าอุปสงค์นันเอง ซึ6งวิธีการท6ีสามารถแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกตํ6าได้ คือ ต้อง
ควบคุมปริมาณการผลิตไม่ให้มีมากเกินกว่าความต้องการบริโภค (ควบคุมด้านอุปทานของสินค้า) และ/หรือ
เพิ6มความต้องการบริโภคให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิตท6ีมีมากขึGน (เพิ6มอุปสงค์ของสินค้า) ทัGงนีGการเพิ6ม
ความต้องการบริโภคสินค้าสามารถทำได้โดยการเพิ6มหรือขยายตลาด แต่หากไม่มีการควบคุมปริมาณการผลิต
ให้เหมาะสม ในท6ีสุดเม6ือความต้องการบริโภคถึงจุดอิ6มตัว ก็จะเกิดปัญหาราคาตกตํ6าเช่นเดิม ดังน(ัน การควบคุม
ปริมาณการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภคจึงเป็นแนวทางทีจะสามารถแก้ปัญหาราคาผลผลิตตกตํา
ได้อย่างยังยืน
การควบคุมปริมาณการผลิตให้พอดีกับความต้องการบริโภคสามารถทำได้หรือไม่สำหรับสินค้าเกษตร
ของไทย -- เนื6องจากตลาดสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ของไทยเป็นตลาดที6ประกอบด้วยผู้ผลิตที6เป็นเกษตรกรรายย่อย
จำนวนมาก การควบคุมปริมาณการผลิตจึงทำได้ยาก นอกจากนีGการตัดสินใจทำการผลิตของเกษตรกรแต่ละคน
จะพิจารณาจากราคาสินค้าในปัจจุบันเป็นหลัก ประกอบกับธรรมชาติของสินค้าเกษตรที6ต้องใช้เวลานานในการ
ผลิต เช่น ลงทุนปลูกข้าววันนีG กว่าจะได้ผลผลิตก็อีกประมาณ 4 – 5 เดือนข้างหน้า หรือ ลงทุนปลูกเงาะวันนีG
กว่าจะได้ผลผลิตก็ต้องรออีกประมาณ 3 – 4 ปี ข้างหน้า ซึ6งถ้าวันนีGข้าวมีราคาดี เกษตรกรส่วนใหญ่ก็จะตัดสินใจ
ปลูกข้าวกัน ดังนัGนอีก 4 – 5 เดือนข้างหน้า ถ้าสภาพดินฟ้ าอากาศดี ก็จะทำให้มีผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดใน
ปริมาณมาก เม6ือมีอุปทานมาก ขณะท6ีความต้องการบริโภคข้าวไม่เปล6ียนแปลง ราคาข้าวก็จะตํ6าลงตามกลไก
ตลาด ในทางตรงกันข้าม ถ้าวันนีGข้าวมีราคาตํ6า เกษตรกรส่วนใหญ่ก็จะหันไปทำการผลิตสินค้าอ6ืนแทนข้าว อีก
4 – 5 เดือนข้างหน้า ปริมาณข้าวท6ีออกสู่ตลาดก็จะมีน้อย ทำให้ข้าวมีราคาสูงขึGน แต่ถ้าเกษตรกรสามารถรู้
ล่วงหน้าตัGงแต่วันนีGว่าในอีก 4 – 5 เดือนข้างหน้าราคาข้าวจะตํ6าลง เขาคงไม่อยากปลูกข้าวในวันนีG ในทางตรงกัน
3
ข้าม ถ้าเขารู้ล่วงหน้าว่าในอีก 4 – 5 เดือนข้างหน้า ข้าวจะมีราคาสูง เขาคงจะตัดสินใจปลูกข้าวในวันนีGอย่าง
แน่นอน
ดังนัGน หากเกษตรกรรู้ข้อมูลด้านราคาและปริมาณความต้องการซืGอล่วงหน้า เขาก็จะสามารถวาง
แผนการผลิต เพ6ือให้ได้ผลผลิตในปริมาณท6ีสอดคล้องกับความต้องการของผู้ซืGอได้เหมือนกับสินค้า
อุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ ท6ีมีการกำหนดราคาสินค้าไว้ล่วงหน้า เม6ือผู้บริโภคพอใจท6ีจะซืGอรถยนต์ในราคา
ดังกล่าวก็จะทำการสั6งซืGอ และเม6ือมีการสั6งซืGอผู้ผลิตจึงทำการผลิตให้ตรงกับความต้องการของผู้ซืGอ กรณีเช่นนีG
ทำให้ผู้ผลิตสามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซืGอได้
แนวความคิดดังกล่าว นำไปสู่การพัฒนาตลาดซืGอขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าของประเทศไทยท6ีปัจจุบันมี
สินค้าเกษตรท6ีซืGอขายล่วงหน้า 3 ประเภท ได้แก่ ยางพารา ข้าว และ มันสำปะหลัง ซึ6งตลาดซืGอขายสินค้าเกษตร
ล่วงหน้านอกจากจะมีประโยชน์ต่อผู้ผลิตที6ช่วยให้สามารถวางแผนการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของผู้บริโภคได้แล้ว ยังช่วยลดความเส6ียงสำหรับผู้บริโภคได้อีกด้วย เพราะทำให้ผู้บริโภคมีความมัน6 ใจ
ว่า เขาจะได้บริโภคสินค้าในปริมาณและราคาที6เขาพอใจอย่างแน่นอน
แม้ว่าตลาดซืGอขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจะมีส่วนช่วยให้เกษตรกรรับข้อมูลด้านราคาและปริมาณความ
ต้องการซืGอล่วงหน้าเพ6ือใช้ประกอบการตัดสินใจด้านการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคก็ตาม
แต่เราก็ไม่สามารถใช้วิธีการซืGอขายล่วงหน้ากับสินค้าเกษตรทุกชนิดเพ6ือแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกตํ6าได้
เพราะสินค้าเกษตรท6ีเหมาะสมต่อการซืGอขายล่วงหน้านัGน จะต้องเป็นสินค้าท6ีราคาต้องมีความผันผวนมากเพียง
พอท6ีจะทำให้ผู้ขายและผู้ซืGอสนใจท6ีจะเข้ามาทำการซืGอขายล่วงหน้าเพ6ือป้ องกันความเส6ียง รวมถึงสินค้านัGน
จะต้องมีปริมาณการผลิต หรือปริมาณการค้าท6ีมากเพียงพอ นอกจากนีG ต้องเป็นสินค้าเกษตรท6ีมีการกำหนด
มาตรฐานของสินค้าท6ีชัดเจน เน6ืองจากสินค้าเกษตรโดยทัว6 ไปมีความหลากหลายมาก หากไม่มีการกำหนด
มาตรฐานของสินค้าท6ีชัดเจน ก็จะเป็นการยากในการกำหนดราคาสำหรับการซืGอขายล่วงหน้าได้
สำหรับประเทศไทยจะพบว่า รัฐบาลมักเข้ามาแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตรอยู่บ่อยครัGงโดยการใช้
มาตรการต่างๆ ซึ6งต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพ6ือแก้ปัญหาในระยะสัGน จนทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่มีความ
เช6ือหรือเข้าใจว่ารัฐบาลจะเข้ามาช่วยเหลือเขาทุกครัGงท6ีมีปัญหาราคาผลผลิตตกตํ6า เขาจึงไม่สามารถรับรู้ถึงภาระ
ท6ีเกิดขึGนจากความเส6ียงดังกล่าวอย่างจริงจัง เกษตรกรส่วนใหญ่จึงไม่มีความสนใจท6ีจะหาวิธีการลดหรือป้ องกัน
ความเส6ียงท6ีอาจจะเกิดขึGน รวมถึงไม่มีความสนใจท6ีจะวางแผนการผลิตอย่างรอบคอบเพ6ือให้ได้ผลผลิตใน
ปริมาณท6ีสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ6งในท6ีสุด หากรัฐบาลยังสนใจเฉพาะการแก้ปัญหาในระยะ
สัGนเท่านัGน ปัญหาราคาผลผลิตตกตํ6าก็จะยังคงต้องเกิดขึGนซGำซาก และ มีแนวโน้มท6ีจะขยายขอบเขตมากยิง6 ขึGน
ต่อไปในระยะยาว
พันธุ์เป็ด
1. เป็ดพันธุ์ไข่
1.1 พันธุ์กากีแคมเบลล์ พัฒนาพันธุ์ในประเทศอังกฤษ จนได้เป็นเป็ดพันธุ์ที่ให้ไข่ดกที่สุดในโลกพันธุ์หนึ่งโดยให้ไข่ปีละมากกว่า 300 ฟอง เป็ดกากีมีขนสีน้ำตาล แต่ขนที่หลังและปีกมีสีสลับอ่อนกว่า ปากดำค่อนข้างไปทางเขียว จงอยปากต่ำ ตาสีน้ำตาลเข้ม คอส่วนบนสีน้ำตาล แต่ส่วนล่างเป็นสีกากี ขาและเท้าสีเดียวกันกับขน แต่เข้มกว่าเล็กน้อย ตัวเมียเมื่อโตเต็มที่หนักประมาณ 2.0-2.5 กก. เริ่มไข่เมื่ออายุประมาณ 41/2 เดือน ส่วนตัวผู้ จะมีขนสีเขียวที่หัว คอ ไหล่ และปลายปีก ขนตัวสีกากีและน้ำตาลขาและเท้าสีกากีเข้ม โตเต็มที่หนักประมาณ 2.5-2.7 กก.
1.2 พันธุ์กบินทร์บุรี เป็ดไข่พันธุ์กบินทร์บุรี เป็ดไข่พันธุ์กบินทร์บุรีเดิมเป็นเป็ดพันธุ์กากีแคมเบลล์ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้มีลักษณะ พิเศษเฉพาะพันธุ์ เพศเมีย - สีขนเป็นสีกากีตลอดลำตัว ขา และแข้งสีส้ม ปากสีน้ำเงินปนดำ - เริ่มไข่เมื่ออายุ 150-160 วัน น้ำหนักเริ่มไข่ 1,450-1,500 กรัม ไข่ได้ 300-320 ฟอง/ตัว - ไข่มีขนาด 65 กรัม - กินอาหารวันละ 145-160 กรัม/ตัว อายุการให้ไข่ 1-2 ปี แต่ปีแรกจะให้ไข่มากที่สุด เพศผู้ - ตัวใหญ่กว่าเพศเมีย น้ำหนักอยู่ระหว่าง 1,700-1,800 กรัม/ตัว - หัวมีขนสีเขียวแก่คลุมลงมาจนถึงกลางลำคอ โดยเฉพาะเป็ดหนุ่มอายุ 5-7 เดือน ขนหัวและคอจะมีสีเขียวแก่ชัดเจนและสีนี้จะค่อยๆ จางลงจนเป็นสีน้ำเงินปนดำเมื่อเป็ดมีอายุมากขึ้น - ขนหาง 2-3 เส้นจะโค้งงอขึ้นด้านบน ปลายขนหางและปลายขนปีกจะมีสีน้ำตาลดำ - ขนลำตัวสีเทา แต่ขนจากกลางคอจนถึงไหล่และหน้าอกด้านหน้าจะสีน้ำตาลเข้ม - ขาแข้งสีส้ม ปากสีน้ำเงินปนดำ
1.3 พันธุ์อินเดียนรันเนอร์ เป็นเป็ดขนาดเล็ก ตัวผู้โตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 1.7-2.5 กก. ตัวเมียมีน้ำหนัก 1.5-2.0 กก. เป็ดพันธุ์นี้มีอยู่ 3 ชนิด คือ สีขาว สีเทา และสีลาย
ลักษณะเด่นประจำพันธุ์ที่แปลกกว่าเป็ดพันธุ์อื่น ๆ คือกาารยืนคอตรงลำตัวเกือบตั้งฉากกับพื้น ปากสีเหลือง แข้งและเท้าสีส้ม ตัวเมียเริ่มให้ไข่เมื่ออายุประมาณ 4 1/2 เดือน ให้ไข่ฟองโตและไข่ทน
1.4 พันธุ์พื้นเมือง ที่นิยมเลี้ยง มี 2 พันธุ์ คือ
เป็ดนครปฐม เลี้ยงกันมากในเขตจังหวัดนครปฐม เพชรบุรี สุพรรณบุรี และในพื้นที่ลุ่มซึ่งเป็นเขตน้ำจืด ตัวเมียมีขนสีลายกาบอ้อย ปากสีเทา เท้าสีส้ม ตัวผู้มีสีเขียวแก่ตั้งแต่คอไปถึงหัว คอควั่นขาว อกสีแดง ลำตัวสีเทา ปากสีเทา และเท้าสีส้ม ตัวผู้โตเต็มที่หนักประมาณ 3.0-3.5 กก. ตัวเมียหนัก 2.5-3.0 กก. เริ่มให้ไข่เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน
เป็ดปากน้ำ เลี้ยงกันมากในเขตจังหวัดสมุทรปราการ (ปากน้ำ) สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ตลอดจนจังหวัดที่อยู่ชายฝั่งทะเลอื่น ๆ เป็นเป็ดพันธุ์เล็ก ตัวเมีย มีปาก เทา และลำตัว สีดำ อกสีขาว เฉพาะตัวผู้จะมีขนสีเขียวบรอนซ์ที่หัว ขนาดเล็กกว่าเป็ดนครปฐม ขนาไข่ก็เล็กกว่าเริ่มให้ไข่เมื่ออายุ 5-6 เดือน ตัวผู้ของเป็ดพันธุ์พื้นเมืองนิยมนำไปเลี้ยงเป็นเป็ดเนื้อ
ในปัจจุบัน เป็ดไข่พันธุ์พื้นเมืองแท้แทบจะหมดไปจากวงการเลี้ยงเป็ดไข่แล้ว เนื่องจากมีการผสมพันธุ์กันระหว่างพันธุ์กากีแคมเบลล์กับพันธุ์พื้นเมืองมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนกลายเป็นเป็ดพันธุ์ผสมแทบทั้งหมด พันธุ์แท้ส่วนใหญ่เหลืออยู่ตามสถานีทดลองของกรมปศุสัตว์เท่านั้น
1.5 พันธุ์ลูกผสมกากีแคมเบลล์กับพื้นเมือง นิยมเลี้ยงกันมากกว่าพันธุ์แท้ เพราะเลี้ยงง่าย ทนทาน ให้เนื้อดี และให้ไข่ดก ประมาณณ 260 ฟองต่อปี อายุที่เริ่มไข่ประมาณ 5 1/2-6 เดือน
1.6 พันธุ์ลูกผสม ไฮ-บริด พัฒนาพันธุ์โดยบริษัทเอกชนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่แล้วนำเข้ามาเลี้ยงใน เมืองไทย เริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการเลี้ยงเป็ดมากขึ้น พันธุ์ที่นิยมเลี้ยง เช่น ซุปเปอร์ดั๊ค
ลักษณะทั่วไปของเป็ดที่ให้ไข่ดก
- เป็ดมีลำตัวลึกและกว้าง
- ขนกร้านไม่สวยงาม ไม่พองฟู
- นัยน์ตานูนเด่นเป็นประกายสดใส
- ช่วงคอลึกและแข็งแรง
- ก้นย้อยห้อยเกือบติดดิน
- จับดูหน้าท้องจะบางและนุ่ม
- กระดูกเชิงกรานกว้าง ทวารกว้างและชื้น
การเลี้ยงเป็ดเทศ
ขึ้นอยู่กับจำนวนของเป็ดที่เลี้ยง โดยแบ่งเป็น
- ค่าพันธุ์เป็ดเทศ ตัวละประมาณ 6-8 บาท (ราคาจำหน่ายของกรมปศุสัตว์)
- ค่าอาหารเป็ด (เช่น ปลายข้าว รำ กากถั่วเหลือง ปลาป่น เปลือกหอย เป็นต้น) ประมาณ 7 กิโลกรัม/ตัว
- ค่ายา + ค่าวัคซีน ประมาณ 1 บาท/ตัว
- ค่าโรงเรือนเลี้ยงเป็ด และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นอยู่กับจำนวนเป็ดและสภาพพื้นที่ที่เลี้ยงเป็ด
รายได้
ขึ้นอยู่กับจำนวนเป็ดที่เลี้ยง
แหล่งจำหน่ายพันธุ์เป็ด
กรมปศุสัตว์ ตลาดทั่วไป
อุปกรณ์
โรงเรือน เล้าเลี้ยงลูกเป็ด หลอดไฟให้ความอบอุ่น รางใส่อาหาร รางใส่น้ำ
วิธีดำเนินการ
การเลี้ยงเป็ดเทศ แบ่งเป็น
ตั้งแต่แรกเกิด-อายุ 3 สัปดาห์ การฟักไข่จะใช้เวลาประมาณ 35 วัน เมื่อลูกเป็ดเทศเกิด นำไปเลี้ยงในเล้า ซึ่งมีผ้าหรือกระสอบป่านตัดเย็บล้อมรอบเล้า เพื่อป้องกันลมโกรกถูกตัวลูกเป็ด พื้นเล้าควรปูด้วยแกลบหรือวัสดุที่สะอาด หนาประมาณ 2-3 นิ้ว จัดวางหลอดไฟให้ความอบอุ่น เตรียมรางใส่อาหาร รางใส่น้ำไว้ในเล้า ให้อาหารเป็ดวันละ 4-5 ครั้ง อุณหภูมิที่เหมาะสมในการกกลูกเป็ด ควรสังเกตจากปฏิกิริยาของลูกเป็ดด้วย ถ้ามีลูกเป็ดนอนสุมทับกันและมีเสียงร้อง แสดงว่าอุณหภูมิต่ำเกินไป ต้องเพิ่มความอบอุ่นให้ ถ้าลูกเป็ดกระจายอยู่และยืนอ้าปากหอบกางปีก แสดงว่าร้อนเกินไป ต้องลดอุณหภูมิลง ถ้าอุณหภูมิพอเหมาะ ลูกเป็ดจะนอนราบกับพื้นกระจายอยู่ทั่วไป การกกลูกเป็ดควรกกประมาณ 3 สัปดาห์
อายุ 4-12 สัปดาห์
โรงเรือนสำหรับเลี้ยงเป็ด ควรแห้งสะอาด ไม่มีน้ำขัง ป้องกันแดดและฝนได้ดี รางอาหารควรวางห่างจากรางน้ำ มีผัก หญ้าสด หรือผักตบชวา ให้เป็ดกิน อาหารควรมีโปรตีนประมาณ 16% ถ้าเลี้ยงเป็ดเทศเพื่อจำหน่ายควรจำหน่ายอายุ 10-12 สัปดาห์
อายุประมาณ 13-24 สัปดาห์
ช่วงนี้เป็ดจะกินอาหารมากขึ้น การเจริญเติบโตน้อย จึงเลี้ยงด้วยอาหารให้เพียงพอสำหรับรักษาขนาดและน้ำหนักของเป็ดให้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อาหารที่ให้ช่วงนี้ ควรมีโปรตีนประมาณ 14%
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์
เป็ดที่จะเริ่มไข่เมื่ออายุ 28 สัปดาห์ วันหนึ่งควรให้อาหาร 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปริมาณที่ให้แม่พันธุ์ 130-150 กรัม/ตัว/วัน พ่อพันธุ์ 200-250 กรัม/ตัว/วัน อาหารที่ให้ควรมีโปรตีนประมาณ 15-18% เป็ดเทศปีหนึ่งจะไข่ประมาณ 4-5ชุด ชุดละ 15-20 ฟอง สามารถไข่ได้ 2 ปี ลักษณะเป็ดเทศที่จะไข่มีขนสีดำเป็นมัน หน้าแดง ร้อง แม่เป็ดชอบไข่ในที่มืดสงบ จึงควรมีรังไข่บุด้วยฟางหรือวัสดุแห้งๆ จัดไว้ในมุมมืดของเล้าสำหรับแม่เป็ด
การป้องกันโรค
โรคที่สำคัญในเป็ดเทศ ได้แก่ โรคอหิวาต์ และโรคดั๊กเพล็ก จึงต้องมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
- โรคอหิวาต์ ฉีดวัคซีนเมื่อเป็ดอายุ 1-1 เดือนครึ่ง ปีละ 4 ครั้ง โดยฉีดเข้ากล้ามตัวละ 2 ซีซี
- โรคดั๊กเพล็ก ฉีดวัคซีนเมื่อเป็ดอายุ 21 วัน ปีละ 2 ครั้ง โดยฉีดเข้ากล้ามตัวละ 1 ซีซี
ข้อแนะนำ
1. ถ้ามีเงินลงทุนน้อย และมีพื้นที่กว้างขวาง เป็นที่โล่งใกล้แหล่งน้ำ รวมทั้งเลี้ยงเป็ดจำนวนไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องปลูกสร้างโรงเรือน แต่ถ้ามีจำนวนเป็ดมาก ก็สร้างโรงเรือนโดยใช้ตาข่ายล้อมรอบ มุงหลังคาด้วยจาก เพื่อเป็นการประหยัด
2. เป็ดเทศอายุตั้งแต่ 4 สัปดาห์ ขึ้นไป ควรให้กินผัก หญ้าสด หรือ ผักตบชวา เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต
3. มีปัญหาในการเลี้ยง และการป้องกันดูแลรักษาโรค ติดต่อได้ที่
- กรมปศุสัตว์ พญาไท กทม. โทร. 653-4550-7 ต่อ 3251-2
- สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอ
ที่มา ส่งเสริมการมีงานทำ , กอง กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม,"เลี้ยงเป็ดเทศ,"150 อาชีพเส้นทางประกอบอาชีพอิสระ.กรุงเทพฯ , 2544 ,หน้า208-209.